วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

50 เคล็ดลับดูแลมือและเล็บ


1.   ท่าบริหารที่จะช่วยให้มือและข้อมือเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นและกระตุ้นการไหล เวียนโลหิต คือ กำหมัดให้แน่นแล้วยืดนิ้วออกให้กว้างที่สุด  ค้างไว้ 2 วินาที ทำซ้ำอีก 6 ครั้ง ทั้งสองมือ

2.   เพิ่มความยืดหยุ่นให้มือด้วยการบีบลูกบอลนิ่มๆ ไว้ในฝ่ามือแล้วใช้นิ้วบีบให้แน่น  ทำซ้ำจนรู้สึกเมื่อยจึงเปลี่ยนข้าง

3.   หากมือแห้ง  ล้างมือด้วยเกลือป่นเล็กน้อย เช็ดให้แห้งแล้วชโลมโลชั่นให้ทั่วมือ

4.   พกครีมทามือขนาดเล็กไปด้วยทุกครั้งและหมั่นทาครีมเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังล้างมือ


5.   สูตรน้ำผึ้งบำรุงมือให้ชุ่มชื่นคือ ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา น้ำมันพืช 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1/4 ช้อนชา  นวดมือ 10 นาทีแล้วล้างออก  มือจะนุ่มชุ่มชื่นขึ้น

6.   คลายความเมื่อยล้าให้นิ้วมือและฝ่ามือด้วยการบีบโลชั่นลงบนฝ่ามือข้างใดข้าง หนึ่ง  ใช้นิ้วโป้งของมืออีกข้างช่วยนวดฝ่ามือ  โดยนวดจากโคนถึงปลายนิ้ว  จะช่วยให้คลายเมื่อยได้ดีในระหว่างวัน


7.   ควรทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของสารกันแดดเมื่อต้องออกไปข้างนอกเพื่อป้องกันมือเหี่ยวย่นและหมองคล้ำ

8.   หลังล้างมือควรเช็ดมือให้แห้ง  เพราะน้ำที่หลงเหลืออยู่บนมือขณะระเหยจะพาความชุ่มชื่นไปด้วย


9.   ควรสวมถุงมือหากต้องสัมผัสสารเคมีต่างๆ หรือการทำงานหนักๆ เช่น ล้างจาน  ล้างรถ  ทำสวน  เป็นต้น

10.  ดื่มน้ำแครอทคั้นสดวันละ 1 แก้วทุกวัน จะช่วยให้เล็บแข็งแรง  เพราะน้ำแครอทอุดมไปด้วยแคลเซียม  และฟอสฟอรัส

11.   บำรุงเล็บที่เปราะบาง  หรือเป็นสะเก็ด โดยกินสารอาหารหลัก เช่น แคลเซียมจากนม  กรดไขมันโอเมก้า 3 จากปลาที่มีไขมันมาก ๆ วิตามินซีจากผักและผลไม้สด  และสังกะสีจากอาหารทะเลและสัตว์ปีก

12.  รับประทานสารอาหารจำพวกโปรตีนเพื่อป้องกันการเกิดรอยเส้นขาวๆพาดกลางเล็บ

13.  เล็บติดเชื้อรา  ใช้น้ำมันมะกรูดหรือน้ำมันทีทรี  ( tea  tree  oil ) ทาบ่อย ๆ  โดยใช้สำลีจุ่มน้ำมันแต้มที่เล็บและหนังโดยตรง

14.  วิธีทำให้เล็บเงางามแบบง่าย ๆ  ได้แก่  ใช้บาล์มถูเล็บเบา ๆ  แล้วเช็ดออกด้วยผ้านุ่ม

15.  แช่เล็บในอ่างที่ผสมน้ำมะนาว 1 ช้อนชา กับ น้ำสะอาด 1 แก้ว  จะช่วยขจัดคราบเหลืองบนเล็บ

16.  อย่ากัดเล็บ  นอกจากจะเสียบุคลิกแล้ว  ยังทำให้เล็บบิ่น  แหว่ง  ไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง  วิธีแก้ไขคือให้พกกรรไกรตัดเล็บไว้ในกระเป๋า  หรือลิ้นชักที่ทำงาน  เป็นตัวแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี

17.  หากชื่นชอบการทาเล็บ  ควรพักให้เล็บได้หายใจบ้างอย่างน้อย  1 อาทิตย์  ภายใน 1 เดือนเพื่อป้องกันเล็บเป็นคราบเหลืองและแห้งเปราะ

18.  เช็ดยาทาเล็บออกด้วยน้ำยาล้างเล็บที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์  โดยแช่บนเล็บไว้สักพักแล้วค่อยลูบออกอย่างเบามือ

19.  ตะไบเล็บไปทางเดียวกัน  ไม่ควรถูไปมา  และควรหลีกเลี่ยงตะไบเหล็กเพราะอาจทำให้เล็บเปราะได้  จากนั้นใช้ตะไบสำหรับให้เล็บมันเงาถูเบาๆ จากบริเวณเหนือจมูกเล็บจนถึงปลายเล็บ

20.  เมื่อเตรียมเล็บพร้อมแล้ว  ควรลองพื้นด้วยเบสก่อน  จากนั้นตามด้วยสีทาเล็บ 2 รอบ แล้วปิดท้ายด้วยการเคลือบเล็บอีกครั้ง และเพื่อให้สีเล็บติดทนนานควรเคลือบเล็บทุก ๆ 3 - 4  วัน

21.  กรณีเกิดรอยขีดข่วนกลางเล็บขณะที่สียังไม่แห้ง  ใช้นิ้วแตะน้ำยาล้างเล็บแล้วแต้มเบาๆที่รอยเพื่อให้เจือจางเล็กน้อย  จากนั้นใช้สีทาเล็บทา 1 รอบ ตามด้วยน้ำยาเคลือบเล็บ

22.  หากสีเล็บหลุดลอกบริเวณปลายเล็บ  ใช้สีทาเล็บเพียงเล็กน้อยแตะเบาๆบริเวณที่สีหลุด  ทิ้งไว้สักพักแล้วทาสีทับทั้งเล็บอีกครั้ง  แล้วปิดท้ายด้วยน้ำยาเคลือบเล็บ

23.  วิธีปรนนิบติเล็บสวยอย่างง่ายๆ
-   แช่เล็บในน้ำอุ่นโดยหยดน้ำมันมะกอกหรือเบบี้ออยล์ประมาณ 2-3 หยดเพื่อให้เล็บนุ่ม
-   ใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อกำจัดจมูกเล็บทาไปตามขอบเล็บ
-   ใช้ไม้ปลายเฉียงพันด้วยสำลีบางๆที่ปลาย ดันเบา ๆ รอบด้าน ไม่ควรดันเล็บขณะเล็บแห้ง  จากนั้นตามด้วยออยล์บำรุงรอบเล็บ

24.  เคลือบเงาเล็บโดยใช้ยาทาเล็บชนิดใสหรือสีชมพูจางเพื่อให้มือสวยสุขภาพดี

25. เพ้นต์ เล็บด้วยตนเอง  เพียงใช้สีทาเล็บที่เข้ากันสัก 3 - 4 สี  พร้อมยาเคลือบเล็บแบบใส 1 ขวด สีอะคริลิก  1  กล่อง พู่กันเบอร์ 1 และเบอร์ 2 แล้วละเลงลวดลายตามชอบ  ดังนี้
-   คิดลายไว้ในใจ  เตรียมสีที่จะต้องใช้
-   ผสมสีอะคริลิกไว้ในจานสี
-   เริ่มรองพื้นเล็บด้วยยาทาเล็บสีที่ต้องการ
-   ใช้พู่กันเบอร์ 1 หรือ เบอร์  2 ที่มีปลายเรียวเล็กจุ่มสีอะคริลิกวาดลวดลายได้เลย
-   ทิ้งไว้ให้แห้งสนิท  แล้วเคลือบเล็บที่เพ้นต์แล้วด้วยยาเคลือบเล็บแบบใส

      เคล็ดลับดูแลเท้า

26.  วิธีหนึ่งที่ช่วยขจัดกลิ่นเท้า และผลัดเซลล์ที่ตายแล้ว คือ  ผสมน้ำมะนาวและน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1 ต่อ 1  แล้วใช้กระดาษทิชชูแผ่นใหญ่ชุบเช็ดให้ทั่วเท้า  หรืออาจใช้สำลีชุบแอลกอฮอลล์เช็ดทั้งเช้าและเย็นแทนก็ได้

27.  พอกเท้าด้วยส่วนผสมทำเองโดยใช้สตรอเบอร์รี่  8 ผล สับเป็นชิ้นเล็ก ๆ  น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ และเกลือ 1 ช้อนชาผสมให้เข้ากัน  นำไปนวดให้ทั่วเท้า  จากนั้นล้างออกแล้วเช็ดให้แห้ง


28.  พยายามอย่าทาโลชั่นบริเวณง่ามนิ้วเท้า  เพราะความชื้นอาจก่อให้เกิดเชื้อราได้

29.   การไม่สูบบุหรี่จะช่วยให้เท้าอุ่นขึ้น  สิงห์อมควันมักจะมีเท้าแห้งและเย็น เพราะร่างกายกำลังต้องการออกซิเจน


30.   หากต้องเดินทำโน่นทำนี่อยู่ในบ้านบ่อย ๆ  ควรสวมรองเท้าแตะไว้เพื่อป้องกันเท้าหยาบกร้าน

31.  พกสเปรย์หรือโลชั่นช่วยระงับความอับชื้นพร้อมให้ความสดชื่นแก่เท้า  หากต้องเดินทางตลอดวัน

32.  ผ่อนคลายเท้าหลังจากเดินนาน ๆ โดยแช่เท้าในน้ำเย็น 30 วินาที  จากนั้นแช่ในน้ำอุ่น 3 นาที อาจหยดเอสเซนเชียลออยล์เพิ่มความหอมละมุน  แล้วห่อเท้าด้วยผ้าขนหนูเนื้อนุ่ม นอนพักประมาณ 20 นาที

33.  แช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนตัดเล็บเพื่อช่วยให้เล็บนุ่มตัดง่าย  และควรตัดให้ตรง  อย่าให้เล็บโค้งตรงมุมเล็บ เพราะอาจทำให้เล็บขบได้เมื่อเล็บงอกยาวขึ้น


34.  หากทาน้ำยาเคลือบเล็บไว้  ควรล้างออกหลังจากผ่านไป 1 อาทิตย์  เพราะน้ำยาเคลือบเล็บจะพาความชุ่มชื่นออกไป  ทำให้เล็บเปราะหักได้ง่าย

35.  การเดินบนชายหาดเป็นอีกวิธีที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเท้าให้หลุดลอก  และทำให้เล็บเงางามด้วย

36.  อย่าสวมรองเท้าที่คับจนเกินไป  เพราะอาจเป็นสาเหตุให้นิ้วเท้าผิดรูปได้

37.  อย่าลืมทาครีมกันแดดที่เท้าด้วยเมื่อเดินเล่นชายหาด

38.  ป้องกันส้นเท้าแตก  โดยใช้แปรงขัดเท้าหรือหินขัดที่ทำจากหินภูเขาไฟสังเคราะห์ขัดสนเท้าขณะอาบ น้ำ  เพราะจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกตามร่องส้นเท้าแตกได้ดี  จากนั้นบำรุงเท้าด้วยครีมชนิดเข้มข้น  หรือครีมป้องกันส้นเท้าแตกโดยเฉพาะ

39.  ลองเลือกสครับที่มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวหนังที่เสื่อมสภาพ  หรือจะทำสครับเองโดยใช้เกลือทะเลผสมน้ำมันมะกอกขัดเท้าให้เพลินใจ  จากนั้นอย่าลืมตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ให้ความชุ่มชื่นก่อนนอนเพื่อคืนความมี ชีวิตชีวาให้เท้า

40.  ขั้นตอนบำรุงเท้าก่อนการทาเล็บ
-   เช็ดสีทาเล็บเดิมออกด้วยน้ำยาล้างเล็บอย่างเบามือ
-   แช่เท้าในน้ำอุ่นโดยอาจใส่เอสเซนเชียลออยล์โดยเฉพาะทีทรีออยล์ เพื่อช่วยบำบัดและฆ่าเชื้อโรค  หรือผลิตภัณฑ์สำหรับแช่เท้า  แช่ไว้ประมาณ  5 - 10  นาที
-   ตัดและตะไบเล็บไปในทางเดียวเป็นแนวเหลี่ยม  แล้วใช้ตะไบลบคมด้านข้าง  เพื่อให้เล็บนุ่มและเข้ารูป
-   แช่เท้าอีกรอบแล้วใช้แปรงเนื้อนุ่มขัดบริเวณใต้เท้าและซอกเล็บ  จากนั้นใช้หินขัดโดยเน้นบริเวณส้นเท้าและข้อเท้า  ตามด้วยผลิตภัณฑ์สครับขัดให้ทั่ว
-   กำจัดจมูกเล็บโดยใช้ผลิตภัณฑ์เฉพาะชนิดครีมหรือออยล์ทาบริเวณแนวขอบเล็บแล้ว นวดเบา ๆ จากนั้นดันจมูกเล็บเบา ๆ ด้วยไม้ปลายเฉียง  พันด้วยสำลีบาง ๆ
-   บำรุง เท้าด้วยครีมบำรุงทั่วไปหรือสำหรับเท้าโดยเฉพาะ  นวดเท้าเพิ่มเติมโดยกำมือเป็นกำปั้นนวดฝ่าเท้าให้ทั่วแล้วพันเท้าด้วยผ้าขน หนู  นั่งพักประมาณ  5 - 10  นาที
-   เช็ดความมันส่วนเกินออก  แล้วเริ่มทาเบสเล็บ  ตามด้วยสีทาเล็บ  ปิดท้ายด้วยน้ำยาเคลือบเล็บ

41.  วิธีง่ายๆที่จะช่วยให้เท้านุ่มน่ามอง คือ หลังอาบน้ำทาโลชั่นให้ทั่วเท้าแล้วนวดเบา ๆ ทั้งนิ้วเท้าและหลังเท้าประมาณ 3 นาที เพราะการให้ความชุ่มชื่นกับเท้ามากเท่าไร  เท้าจะยิ่งนุ่มมากขึ้นเท่านั้นและก่อนนอนอาจเพิ่มความนุ่มด้วยการสวมถุงเท้า ไว้

42.  วิธีทาเล็บเท้าให้สะดวก  สำหรับผู้ถนัดขวาให้ทาข้างขวาโดยเริ่มจากนิ้วโป้งไปหานิ้วก้อยและเท้าข้าง ซ้ายจากนิ้วก้อยไปหานิ้วโป้ง  สำหรับผู้ที่ถนัดซ้ายให้ทำในทิศทางตรงกันข้าม

43.  สวมถุงเท้าหรือถุงน่องที่สะอาด  ไม่ควรนำถุงเท้าที่ใส่แล้วยังไม่ได้ซักมาใส่ซ้ำอีก  ถ้าทำบ่อยๆอาจเกิดการหมักหมมของเชื้อโรคและกลิ่นเหงื่อได้

44.  บริหารเท้าบ้างด้วยการหมุนข้อเท้าเป็นแนววนและสลับด้าน  หรือนวดกระตุ้นการหมุนเวียนโลหิตด้วยเครื่องสำหรับนวดเท้า  หรือถ้าจะให้ประหยัดกว่านั้นให้แช่ลูกแก้วในน้ำอุ่นแล้วนำมานวดคลึงให้ทั่ว เท้าแทนได้

45.  ไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูงทุกวัน  ลองสลับกับส้นเตี้ยบ้างเพื่อป้องกันการปวดหลัง


46.  ผู้ที่เท้าเหงื่อออกง่าย  ควรพกสเปรย์ระงับกลิ่นเท้าที่ช่วยให้แห้งและสดชื่นในระหว่างวัน  และใส่รองเท้าที่ทำจากวัสดุเนื้อบางเบาและระบายอากาศได้ดี

47.  วิธีวัดขนาดเท้า  วางเท้าเปล่าบนกระดาษ  ใช้ปากกาขีดเส้นหลังส้นเท้าและปลายนิ้วเท้าที่ยาวที่สุด  ตัดกระดาษและวางเข้าไปในรองเท้า  โดยให้มีพื้นที่เหลือระหว่างกระดาษและขอบส้นรองเท้าประมาณ ½ หรือ 1 นิ้ว เพื่อป้องกันการใส่รองเท้าที่คับเกินไป

48.  หากต้องเดินทางบนเครื่องบินเป็นเวลานานควรใส่รองเท้าหลวมหน่อย  เพราะเท้าจะขยายใหญ่ขึ้น  และควรถอดรองเท้าบ้างโดยสวมถุงเท้าไว้  นอกจากนี้อาจบริหารเท้าเพิ่มเติมโดยการหมุนข้อเท้าบ้างเป็นระยะ

49.  ป้องกันเท้าเกิดเชื้อราจากความอับชื้นโดยใช้น้ำมันทีทรีจุ่มสำลีแล้วเช็ด บริเวณซอกนิ้วหรือบริเวณที่เกิดเชื้อรา  หรือจะใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำมะนาวแทนก็ได้เช่นกัน

50.  เมื่อเท้าสวยแล้ว  ควรเผยผิวด้วยรองเท้าแบบสานที่มีพื้นนุ่ม  ไม่หยาบกระด้างหรือจะเป็นรองเท้าแตะเท่ห์ ๆ ก็ดูดี
..........................................................................................................................................

ขอขอบคุณบทความจากนิตยสาร  ELLE

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น